ภาพที่ ๓๗ ยสกุลบุตร หน่ายสมบัติ เดินไปสู่ป่าอิสิปตนะ พบพระพุทธองค์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอริยสาวกทั้ง ๕ เสด็จจำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือ สถานที่ทรงแสดงธรรม
ซึ่งนับเป็นพรรษาที่หนึ่ง ตอนนี้ยังไม่เสด็จไปโปรดใครที่ไหนอีก เพราะย่างเข้าหน้าฝน แต่มีกุลบุตรผู้หนึ่งนามว่า "ยส" มาเฝ้า
ยสกุลบุตรเป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี บิดามารดาสร้างปราสาทเปลี่ยนฤดูให้อยู่ ๓ หลัง
แต่ละหลังมีนางบำเรอเฝ้าปรนนิบัติจำนวนมาก เที่ยงคืนวันหนึ่ง ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมา เห็นนางบำเรอนอนสลบไสลด้วยอาการที่น่าเกลียด
(ท้องเรื่องเหมือนตอนก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชา) ก็เกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่าย
ยสกุลบุตร จึงแอบหนีจากบ้านคนเดียวยามดึกสงัด เดินมุ่งหน้าไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
พลางบ่นไปตลอดทางว่า "อุปัททูตัง วต อุปสัคคัง "
" วต" แปลให้ตรงภาษาไทยว่า "เฮ่อ ! วุ่นวายจริง ! เฮ่อ ! อึดอัดขัดข้องจริง !" หมายถึง ความร้อนรุ่มกลุ้มใจ
ขณะนั้นมีเสียงดังตอบออกมาจากชายป่าว่า "โน อุปัททูตัง โน อุปสัคคัง"
(ที่นี่ไม่มีความวุ่นวาย ที่นี่ไม่มีความอึดอัดขัดข้อง) เป็นพระดำรัสของพระพุทธเจ้านั่นเอง
ตอนที่กล่าวนี้ เป็นเวลาจวนย่ำรุ่งแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่
จงกรมคือการเดินกลับไปกลับมา เป็นการบริหารร่างกายให้หายเมื่อยขบและบรรเทาความง่วง เป็นต้น
พระพุทธเจ้าตรัสบอกยสกุลบุตรว่า "เชิญเข้ามาที่นี่แล้วนั่งลงเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง"
ยสกุลบุตร จึงเข้าไปกราบแทบพระบาทพระพุทธเจ้าแล้วนั่งลง พระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาให้ฟัง
ฟังจบแล้วยสกุลบุตรได้บรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วจึงทูลขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระพุทธเจ้า
ยสกุลบุตรบวชแล้วไม่นาน ได้มีสหายรุ่นราวคราวเดียวกับท่านอีก ๕๔ คน รู้ข่าวก็ออกบวชตาม
ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม แล้วได้สำเร็จอรหันต์เช่นเดียวกับพระยสกุลบุตร
ตกลงภายในพรรษาที่หนึ่งของพระพุทธเจ้า ได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกทั้งหมด ๖๑ องค์ด้วยกัน
[/size]