ผู้ฟัง :
ปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่ไม่ตระหนักถึงความกตัญญู และสำนึกถึงบุญคุณคน สนใจแต่เรื่องภายนอก
คือการแต่งกาย ดู ว่าจะดูดี แต่ภายในจิตใจนั้นยังไม่ทราบ
ขอกราบพระอาจารย์ช่วย ให้ธรรมะข้อใด เพื่อเป็นธรรมสำหรับในการที่จะนำไปปฏิบัติต่อไปพระอาจารย์ :
อาตมาคิดว่ามันเป็นเรื่องเป็นปัญหาประจำโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไหน วัฒนธรรมไหน สังคมไหน
คนจะบ่นเรื่องรุ่นใหม่อยู่เรื่อย รุ่นใหม่ไม่เอาไหน รุ่นใหม่ไม่มีเรื่องนี้เรื่องนั้น แต่มันก็เป็นส่วนที่คือ
ถ้าอยากให้รุ่นใหม่ดี รุ่นเก่าเป็นยังไง มันเป็นปัญหามากกว่า รุ่นเก่าที่เป็นแบบอย่าง
อย่างพ่อแม่ชอบบ่นเรื่องลูก แต่ว่าลูกมันได้เลียนแบบจากที่ไหน หน้าที่ของผู้ที่เป็นพ่อแม่ก็ดี หรือ ผู้ที่เป็นรุ่นพี่ก็ตาม
คือคนที่เป็นคนใหม่ขึ้นมา เขาก็ต้องตามแบบอย่างที่เห็นที่ใกล้ชิด
ถ้าหาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ในป่ามีต้นไม้อยู่ตรงนี้ แล้วก็มีต้นไม้อยู่ทางโน้น แล้วก็มีเครือเถาวัลย์เกิดขึ้นอยู่ตรงนี้
มันจะไปพันต้นไม้ไหน มันจะพันต้นนี้ใช่มั้ย มันไม่ไปพันต้นไม้โน้น มันจะพันต้นไม้ที่ใกล้เคียงกัน
ลูกก็เช่นเดียวกัน มันก็จะตามพ่อแม่ไปเป็นหลักที่สำคัญหรือคนที่เป็นรุ่นใหม่ เขาก็จะตามรุ่นที่มาก่อน
เป็นส่วนที่เราก็ต้อง พยายามให้ตัวเราเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นสิ่งที่สำคัญ
เพราะว่าคนส่วนใหญ่ เขาจะทำสิ่งที่ได้เห็นมากกว่าสิ่งที่ ได้ยิน เห็นตัวอย่างอย่างไร เห็นการกระทำอย่างไร
ตัวนี้มีน้ำหนักมากกว่าพูด เช่น อย่างในฐานะที่อาตมาเองเป็นอาจารย์ อาตมาก็สอนได้พูดได้
แต่สิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าคือ เรื่องการกระทำของเราเอง ในฐานะที่เราเป็นผู้นำ เราพูดในลักษณะที่เป็นอาจารย์หรือเป็นเจ้าอาวาส
แต่อย่างนี้ก็เป็นลักษณะธรรมชาติ อย่างเรานึกถึงเรื่องที่อาตมาได้เล่าให้ฟัง ที่ได้สอนเรื่องพระสารีบุตร
ที่พระสารีบุตรได้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ท่านเกิดศรัทธาเพราะท่านเห็นพระอัสสชิ เดินอย่างสำรวม บิณฑบาตอย่างสำรวม
มีความสง่างดงามในกิริยาของท่าน ก็ยังไม่ทันได้ฟังอะไรก็เกิดศรัทธาเพราะการกระทำ
เพราะว่ามันมีน้ำหนักมากโดยธรรมชาติ เพราะคนพูดก็พูดดี มีเหตุมีผล พูดมีความฉลาด
แต่ว่าการกระทำมันไม่ดี มันไม่ตรงไม่เหมือนที่พูดหรือได้บ้างไม่ได้บ้าง มันก็ลดน้ำหนักลง มันมีน้ำหนักน้อย
การกระทำมีน้ำหนักมาก ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ และในฐานะไหนที่เรามีในสังคม เราก็พยายามที่จะให้เป็นผู้ที่มีการกระทำ
การปฏิบัติตรงต่อศีลต่อธรรม คือจะมีผลในลักษณะของการที่ได้...เพราะอย่างไรคนคนเดียว เราต้องสัมผัสกับหลายๆ คน
ถ้าเรา เป็นลูก เรายังต้องมีการสัมพันธ์กับพ่อกับพี่กับน้อง กับเพื่อนฝูงที่ทำงาน ที่เราเรียน ที่เรามีการรับผิดชอบอื่นๆ ในสังคม
ถ้าเราเป็นพ่อเป็นแม่คน เรายังต้องสัมพันธ์กับลูกกับหลาน กับคนรอบข้างที่เป็นเพื่อนฝูง มีส่วนรับผิดชอบอื่นๆ
คือมนุษย์คนเดียวมันไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ในโลกนี้อยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ แต่ก็อย่าคิดว่าเราคนเดียวทำอะไรไม่ได้
เพราะว่าเราคนคนเดียว เราต้องสัมผัสกับคนอยู่ตลอด เราเป็นสิ่งที่คนอื่นเขาก็สังเกต เขาก็ได้เห็น
ทุกวันนี้คนหาแบบอย่างของชีวิตที่ดี ไม่มีใครตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วก็มีการคิดว่าวันนี้จะทำยังไงชีวิตจะเหลวไหล มันไม่มีใครคิด
มีแต่คิดว่าทำอย่างไรชีวิตจะมีความก้าวหน้า มีอะไรที่ดีเกิดขึ้นในชีวิตของเรา
เมื่อได้เห็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่กำลังทำอะไรที่เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นสิ่งที่คนเรานั้นได้เกิดกำลังใจได้เกิดแนวคิดเช่นเดียวกัน
เป็นการจุดประกายทีละเล็กทีละน้อย เป็นสิ่งที่เราเองทำได้ และก็ทำแบบสบาย เราทำอย่างนั้น คือเราสบาย คนอื่นก็สบายด้วย
อ้างอิง สติปัฏฐาน ๔ (พระอาจารย์ปสนฺโน ภิกขุ)